โร่วกุ้ย กับ ต้าหงเผา
ทั้งสองตัวนี้มาจากเขตอุทยานอู่อี๋ซานครับ จากแหล่งปลูกที่ชื่อว่าหม่าโถวเหยียน 马头岩 หรือผาหัวม้า เป็นแหล่งปลูกที่ทำการปลูกชาสองชนิดนี้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
ทั้งสองตัวนี้มาจากเขตอุทยานอู่อี๋ซานครับ จากแหล่งปลูกที่ชื่อว่าหม่าโถวเหยียน 马头岩 หรือผาหัวม้า เป็นแหล่งปลูกที่ทำการปลูกชาสองชนิดนี้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
สาเหตุที่เป็นสีทองแบบนี้เป็นเพราะใบชาถูกเก็บเฉพาะยอดแหลมครับ พอนำมานวด ผ่านกระบวนการ oxidation ใบชาจึงกลายเป็นสีน้ำตาล โดยเฉพาะส่วนของขนชา (tea hair) ที่บางงานวิจัยทำการทดสอบแล้วพบว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งพอถูกความร้อนแล้วก็จะกลายเป็นสีทองอย่างที่
“…แรกเริ่มเดิมทีนั้น ชาถูกใช้เป็นยาก่อนพัฒนาไปสู่เครื่องดื่มในภายหลัง ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 ชาได้พัฒนาไปสู่ขอบเขตของการกวี ในฐานะเครื่องมือแห่งการบรรเทิงศิลปะชนิดหนึ่ง กระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 15 ณ ประเทศญี่ปุ่นได้มีการทำให้ชามีความสูงส่งยิ่งขึ้นจนเป็นศาสนาแห่งความงาม
การนั่งในห้องญี่ปุ่น ถ้านั่งอย่างสุภาพต้องนั่งแบบเซสะ (正座) คือการนั่งแบบเบญจางคประดิษฐ์ เพียงแต่ที่ญี่ปุ่นนั้น ทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะนั่งโดยการนั่งทับเท้าลงมา ไม่มีการแบ่งแยกว่าผู้ชายจะต้องนั่งเท้าตั้งตรงแบบของไทย
หลายร้อยปีก่อน มนุษย์เชื่อกันว่าต้นชาเป็นพืชที่ขึ้นอยู่เฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น จนกระทั่งอังกฤษยึดอินเดียเป็นอาณานิคม จึงมีการสำรวจป่า เพื่อค้นหาพืชที่จักรวรรดิอังกฤษสามารถนำไปเพาะปลูกเพื่อค้าขายได้ ในช่วงแรก นักสำรวจชาวอังกฤษสังเกตว่าชนพื้นเมืองชาวอัสสัมมีการบริโภค
ชาหลงจิ่ง 龍井茶 ชาเขียวที่โด่งดังที่สุด ถึงขั้นได้ชื่อว่าเป็นชาแห่งจักรพรรดิ (Imperial Tea) ของเมืองจีน ใบชามีความ delicate มาก สีเขียวอ่อน ใบละเอียด แลดูคล้ายยอดอ่อนของใบหญ้าที่โผลพ้นขึ้นมาหลังฝนห่าใหญ่ ใบชามีกลิ่นหอมของสัปปะรดอย่างน่าประหลาด น้ำชามีสีเขียวอ่อนใส
หนังสือเกี่ยวกับชาญี่ปุ่นครับ บางเล่มอายุเก่าเป็นร้อยปี ตัวอักษรคันจิที่เขียนยังเป็นแบบเก่า ไม่เหมือนตัวคันจิที่ใช้กันในญี่ปุ่นปัจจุบัน สังเกตว่าหนังสือเกี่ยวกับชาที่มีในภาษาอังกฤษ พออ่านไปเรื่อยๆเนื้อหาก็มักจะวนไปวนมา พอย้อนกลับมาดูหนังสือของเอเชีย โดยเฉพาะญี่ปุ่นกับจีน
วัตถุดิบ
1. ชาฝรั่งแบบชงเย็น 1 แก้ว (หาอ่านวิธีการชงชาฝรั่งเย็นได้จากในเพจ)
2. ขิง หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 3-4 ชิ้น
3. น้ำตาลอ้อย ปริมาณตามความชอบ
นอกจากใบชาที่เรารู้จักกันดีว่ามีที่มาทั้งจากอินเดีย จีน และญี่ปุ่นแล้ว ยังมีชาอีกชนิดหนึ่งซึ่งรสชาติหอมกลมกล่อมไม่แพ้กัน หากแต่สายพันธุ์กลับต่างกันกับชา “จริง” อย่างสิ้นเชิง นั่นคือชา Rooibos (อ่านว่า รอย-บอส) อันมีถิ่นกำเนิดมาจากแอฟริกาใต้ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Aspalathus linearis
ในสมัยก่อน บ้านญี่ปุ่นจะเป็นบ้านแบบหลังคาทำจากฟางหนาๆแบบที่เห็นตามเมือง Shiragawako โดยเพดานจะถูกทำจากไม้ไผ่ นำมามัดรวมๆกันเป็นแพ และปูลาดเป็นผืนยาว อย่างที่เห็นในรูป นอกจากนี้ บ้านคนญี่ปุ่นสมัยก่อน จะมีหม้อไฟ หรือเรียกว่า อิโนริ (囲炉裏) มีลักษณะเป็นหม้อแขวนลง