บนดอยแม่สลอง ช่วงแรกจะปลูกพันธุ์ชิงชิน จากนั้นก็นำจินเชวียนเข้ามา แล้วก็หร่วนจือ จากนั้นก็ซื่อจี้ชุน แต่ปัจจุบันพันธุ์ชิงชินไม่มีการผลิตแล้ว เนื่องจากผลผลิตน้อย แล้วตลาดก็ให้ความนิยมจินเชวียน (เบอร์ 12) กับหร่วนจือ (เบอร์ 17) มากกว่า
ต้นชาพวกนี้มาจากไต้หวัน แต่ก็มีบ้างเช่นหร่วนจือที่นำไปปลูกที่จีนแผ่นดินใหญ่ สายพันธุ์จินเชวียนจะโดดเด่นตรงให้ผลผลิตเยอะ ราคาจำหน่ายจึงถูก บางคนคิดว่าพันธุ์นี้ราคาถูกเพราะเป็นชาเกรดต่ำ ขอบอกไว้เลยว่าไม่ใช่นะครับ เพราะผลผลิตเยอะราคาจึงถูกต่างหาก ส่วนพันธุ์หร่วนจือนั้นผลผลิตต่อไร่น้อยกว่ากัน 1 ใน 3 ราคาจึงแพงกว่า (ต้นชาดูแลยากมาก บอบบาง ไม่ทนแมลง ไม่ทนแดด กลับกันพันธุ์จินเชวียนจะชอบแดดแรงและน้ำเยอะๆ) ส่วนซื่อจี้ชุน ได้ชื่อนี้มาเพราะผลผลิตเท่ากันตลอดทั้ง 4 ฤดู โดดเด่นตรงกลิ่น fruity แต่รสจะแรง (มีความดิบ) และฝาดกว่าถ้าเทียบกับสายพันธุ์อื่น แต่ดื่มไปแล้วจะรู้สึกชุ่มคอ
ส่วนเถี่ยกวนอินกับต้งติ่งนั้น ถ้าเป็นของต้นตำหรับคือไต้หวันกับอานชี จะใช้สายพันธุ์อื่น (การทำเถี่ยกวนอินมีทั้งใช้สายพันธุ์ที่ชื่อว่าเถี่ยกวนอิน กับสายพันธุ์อื่นมาทำ) แต่ในไทยจะใช้วิธีนำพันธุ์จินเชวียนมาอบเพิ่ม อย่างตัวต้งติ่งของทางเชียงรายจะใช้วิธีอบใบชาข้ามวันข้ามคืน มากกว่า 30 ชั่วโมง จนมีกลิ่นคั่ว
KYOBASHI รู้เฟื่องเรื่องชา